วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พ่อใจโหด...“ฆ่าลูกแล้วเอาศพไปเลี้ยงหมู”???

ตำรวจคิดว่าพ่อซ้อมลูกวัย 7 ขวบจนตาย



พบเศษซากมนุษย์ในคอกหมูของบ้านของไมเคิล โจนส์ อายุ 44 ตำรวจคิดว่าพ่ออาจจะฆ่าลูกแล้วเอาศพไปเลี้ยงหมู

ขณะนี้ไมเคิล โจนส์ถูกจำคุกอยู่ในไวแอนด็อตตี เคาน์ตี้ในเคนซัส โดยศาลตั้งวงเงินประกันตัวไว้ที่ 10 ล้านดอลลาร์

ตอนนี้โจนส์ถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธ ทุบตีและทำทารุณกรรมต่อเด็ก แต่เขาอาจเจอข้อหาอื่นอีกเมื่อการสืบสวนดำเนินต่อไป

คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีพลเมืองดีโทรไปแจ้งตำรวจให้ไปที่บ้านในเมืองไปเปอร์ ซึ่งโจนส์พักอยู่กับฮีทเธอร์ โจนส์ ภรรยาวัย 29 และลูกอีกแปดคนอายุระหว่าง 1 และ 11 ขวบ  

พลเมืองดีที่โทรไปแจ้งตำรวจบอกตำรวจว่าไมเคิล โจนส์ทุบตีภรรยาและยิงปืนใส่เธอ

เมื่อการสืบสวนดำเนินต่อไป พลเมืองดีก็บอกตำรวจให้ตามหาเด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งซึ่งหายไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันรุ่งขึ้น ตำรวจได้ไปตรวจค้นในคอกหมูที่อยู่ในอาณาบริเวณบ้าน แล้วพวกเขาก็พบเศษซากของมนุษย์

แหล่งข่าวจากโรงพักบอกว่าตำรวจคิดว่าเศษซากที่เจอจะเป็นเศษซากของเด็กที่ถูกเอามาให้หมูกินหลังจากถูกตีจนตาย อย่างไรก็ตาม ตำรวจก็ยังต้องส่งซากเหล่านี้ไปพิสูจน์ต่อไป

เมื่อเจอเศษซากมนุษย์ ไมเคิล โจนส์จึงถูกต้องข้อหาเพิ่มอีกข้อหาหนึ่งคือ “ทุบตีลูกชายอายุ 7 ขวบอย่างทารุณระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 28 กันยายน”

เด็กคนที่เหลือปลอดภัยและอยู่ในความคุ้มครองแล้ว

อดีตพี่เลี้ยงเด็กที่เคยมาเลี้ยงลูกให้โจนส์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า “สำหรับเด็กผู้หญิงที่ต้องเห็น และต้องทนรับรู้ว่าพี่ของพวกเธอกำลังเจอะเจอกับอะไร นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”

เธอเสริมว่าภรรยาของโจนส์เพิ่งเอาหมูมาเลี้ยงเมื่อไม่นานมานี้

“เธอไปซื้อมันมาเลี้ยงเมื่อเดือนกันยา” เธอบอก

เจอโรมี เอ.กอร์แมน อัยการเขตเมืองไวแอนด็อตตีกล่าวว่าเงินค่าประกันตัว 10 ล้านเป็นเงินที่สูงท่าสุดที่ผู้พิพากษาเคยตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นอัยการเมื่อ 34 ปีที่แล้ว

“ผู้พิพากษาออลเวย์ตั้งค่าประกันโดยเอาโอกาสที่เขาจะหลบหนีและความปลอดภัยของคนอื่นๆมาประกอบ” กอร์แมนกล่าว

ทิป: เรื่องหมูที่น่าสนใจ ๑.หมูเป็นสัตว์ที่ฉลาด ๒. หมูกินทุกอย่างเหมือนคน คือกินทั้งพืชและสัตว์ ๓.หมูใช้เสียงร้องหาอาหารบนพื้นและรับรู้สิ่งที่อยู่รอบตัว ๔.หมูมีจมูกไว ๕.มีคนจำนวนหนึ่งเลี้ยงหมูไว้เป็นสัตว์เลี้ยง ๖.หมูเป็นพาหะของเชื้อโรคหลายชนิดที่สามารถติดต่อมาสู่คน ๗.ถึงแม้หมูจะตึวใหญ่ แต่มันมีปอดเล็ก
และ ๘. การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ โดยเปลี่ยนเอาหัวใจหมูมาใส่แทนหัวใจคนกำลังกำลังจะเป็นจริง - เมื่อเดือนเมษา 2014 มีรายงานข่าวว่าลิงบาบูนในห้องปฎิบัติการมีหัวใจของหมูอยู่ในตัวมากว่าหนึ่งปีแล้ว – นี่ถือเป็นข่าวดี   

ขอขอบคุณภาพจาก: Pixabay.com


อ่านข่าวแปลกได้ทุกวันที่นี่

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จอมหื่นจะยกเลิกงานแต่งเพราะคู่หมั้นไม่ยอมส่งรูปตอนไม่นุ่งผ้ามาให้ยล

ความจริง ไม่รู้จะเรียกว่าจอมหื่นหรือสิบแปดมงกุฎดี

โรตี / ภาพจากแฟ้ม

จิรันทรา รามากฤษณะ ชาวเมืองธาเน รัฐมหาราษฎระ (รัฐมหาราษฎระอยู่ทางตะวันตกของอินเดีย) วัย 33 ปีอดใจรอไม่ไหว เขาอยากเห็นภรรยาในอนาคตตอนไม่นุ่งผ้า และอยากเห็นเดี่ยวนี้

ตอนแรกเขาก็ขอร้องให้เธอถ่ายเซลฟี่แล้วส่งมาให้ดู จากนั้นก็เริ่มเซ้าซี้ จนในที่สุดก็ออกคำสั่งว่าจะเอารูปให้ได้ เมื่อว่าที่ภรรยาไม่สะดวกจะทำตาม เขาจึงคลั่ง

และขู่จะยกเลิกงานแต่ง

มันอะไรกันเนี่ย? เขากำลังคิดอะไรอยู่? ถ้าภรรยาในอนาคตของใครสักคนไม่อยากส่งรูปเปลือยของเธอให้เขาเพราะเธอกำลังกระวนกระวายใจ เป็นห่วงนู้นห่วงนี้ เพราะกำลังเตรียมตัวที่จะเป็นเจ้าสาว เป็นภรรยาและเป็นแม่ศรีเรือน ใครคนนั้นก็ควรจะจบเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?

ก็ได้งั้นเอาสินสอดมา

สินสอด? สินสอดมาเกี่ยวด้วยยังไง? เรียกร้องจะเอารูปเปลือยก็เกินพอแล้ว นี่ยังหน้าด้านจะเรียกร้องเอาสินสอดจากฝ่ายหญิงอีกเหรอ?

แต่นี่คือรามากฤษณะ เขารุกคืบไปอีกขั้น โดยไปเรียกร้องค่าสินสอดเป็นเงิน 300 000 รูปีจากว่าที่เจ้าสาว เขาบอกว่าถ้าไม่ได้สินสอดหรือรูปเปลือยของเธอ เขาจะเลิกๆๆๆๆ ไม่ต่งไม่แต่งแล้ว

ครอบครัวของฝ่ายหญิงจึงยกเลิกงานแต่งตัดหน้าไปเลย นอกจากนั้นพวกเขาก็ยังพากันเดินขึ้นโรงพักไปร้องทุกข์เอาผิดกับจิรันทราและครอบครัวอีกด้วย

จิรันทราก็เลยเจอข้อหาผิดกฎหมายห้ามการเรียกค่าสินสอดน่ะสิ

ทิป: ในการแต่งงานในอินเดีย ฝ่ายหญิงจะต้องให้สินสอดกับฝ่ายชาย แต่เมื่อปี ค.ศ. 1961 ได้มีกฎหมายห้ามเรียกร้องค่าสินสอดออกมาใช้ (และต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายอาญา และ กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา) ถึงแม้การให้ หรือรับสินสอดจะผิดกฎหมาย แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องปกติในอินเดีย (นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆเพราะข้อมูลมีเยอะมาก แล้วจะเอามาให้อ่านทีละนิดทีละหน่อยนะครับ – ผมเอง)

ภาพจากแฟ้ม: โรตี

อ่านข่าวแปลกได้ทุกวันที่นี่


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แมงมุมทำเหตุจนหนุมเกือบติดคุก

เพื่อนบ้านรีบแจ้งตำรวจว่าผัวเมียจะฆ่ากัน สุดท้ายพบว่า...

แมงมุม / รูปจากแฟ้ม


แมงมุมเป็นสัตว์ที่น่ากลัวใช่ย่อย คนที่กลัวมันสามารถปีนต้นไม้หนีได้ถ้าไปเจอกับมันซึ่งๆหน้า ดังนั้น เราก็ควรให้อภัยกับพฤติกรรมสุดติ่งของสุภาพบุรุษคนหนึ่งจากเมืองวูลล์สโตบเนกราฟ นิว เซ้าท์ เวลส์ ออสเตรเลียเมื่อเขาเห็นเจ้าที่ว่าคลานต้วมเตี้ยมอยู่ในบ้าน

เมื่อเวลาประมาณตีสองของเมื่อหกวันที่แล้ว ชาวบ้านร้านตลาดที่อยู่บ้านติดกับสุภาพบุรุษคนหนึ่งได้ยินเสียงคล้ายเสียงผู้หญิงกรีดร้อง

“ฉันจะฆ่าแก แกไม่รอดแน่” มีเสียงของผู้ชายดังลั่น สลับกับเสียงโครมครามๆเหมือนข้าวของในบ้านถูกขว้างใส่ข้างฝา

ตำรวจคิดว่าเกิดคดีฆาตกรรม จึงรีบมา ชายคนหนึ่งมาเปิดประตู เขาหน้าแดงตอนตอบคำถาม
สิ่งที่ตามมาก็คือบทสนทนาขำๆระหว่างตำรวจเมืองฮาเบอร์ไซด์ กับสุภาพบุรุษคนนั้น โดยตำรวจเอาการสนทนาทั้งหมดลงไปเฟ็ซบุ๊กแฟนเพจของพวกเขา:
“ภรรยาของนายอยู่ไหน” ตำรวจถาม
“อ้า... ยังไม่มีฮะ”
“งั้นแฟนของนายอยู่ไหน”
“อ้า... ยังไม่มีฮะ”
“เราได้รับแจ้งว่ามีผัวเมียทะเลาะกัน และมีเสียงผู้หญิงกรีดร้อง เธออยู่ไหน” ตำรวจถามเสียงเข้ม
“ผมไม่รู้ว่าคุณตำรวจพูดเรื่องอะไร ผมอยู่คนเดียว”
“ไม่เอาน่า หนุ่ม ใครๆก็ได้ยินว่านายตระโกนว่านายจะฆ่าเธอ แล้วข้าวของก็กระจายอยู่เต็มห้อง เห็นจะๆ”
ถึงตรงนี้ ชายคนนี้เริ่มหน้าแดง อายมากๆ
“นายทำอะไรเธอ”
“เธอคือแมงมุม”
“หา?”
“เธอคือแมงมุม ตัวใหญ่มากฮะ”
“แล้วเสียงผู้หญิงร้องล่ะ”
“ขอโทษฮะ ผมร้องเอง ผมเกลียดแมงมุมม้ากมาก”

เรื่องกลับกลายเป็นว่า หนุ่มคนนี้ ถือกระป๋องสเปย์ฆ่าแมลง วิ่งไล่แมงมุมตัวค่อนข้างใหญ่ไปทั่วบ้าน ทุกคนเงียบไปนานก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้น ก่อนกลับ ตำรวจกวาดตามองไปทั่วห้อง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบุคคลที่สามบาดเจ็บจริงๆ ยกเว้นแมงมุม...

ทิป: คนที่เป็นโรคกลัวแมงมุม (Arachnophobia) จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ในบริเวณที่พวกเขาเชื่อว่าอาจจะเป็นที่อยู่ของแมงมุม หรือมีสิ่งบ่งบอกว่ามีแมงมุมอาศัยอยู่ เช่น ใยแมงมุม ถ้าคนที่เป็นโรคกลัวแมงมุมเห็นแมงมุม พวกเขาอาจไม่เข้าใกล้จนกว่าจะเอาชนะอาการกลัวได้
เมื่ออยู่ในบริเวณที่ใกล้กับแมงมุมหรือสัมผัสกับใยแมงมุม คนเป็นโรคนี้อาจจะกรีดร้อง ร้องไห้ กระโดดลงจากรถที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน มีปัญหาในการหายใจ เหงื่อออกหรือช็อคตายได้
โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้เหมือนกับการรักษาโรคกลัวสิ่งต่างๆอื่นๆ

ภาพจากแฟ้ม: แมงมุม


อ่านข่าวแปลกได้ทุกวันที่นี่

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วัคซีนป้องกันโรคหัดช่วยชีวิตเด็กมาแล้วหลายล้านคนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แต่ความคืบหน้าก็ยังเป็นไปอย่างช้าๆ

วัคซีนป้องกันโรคหัดช่วยชีวิตเด็กมาแล้วหลายล้านคนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แต่ความคืบหน้าก็ยังเป็นไปอย่างช้าๆ


Photo crdit: Terri Hyde M.D./CDC-PHI

เมื่อสองสามวันที่แล้ว มีข่าวเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการได้ไปขอรับตัวเด็กหญิงอายุไม่ถึงขวบจากยายผู้เลี้ยงดูเนื่องจากยายไปลงบันทึกประจำวันตามหาแม่แท้ๆของเด็ก

โดยคุณยายอยากให้แม่ของเด็กมาแจ้งเกิด เพื่อจะได้มีเอกสารทางราชการไว้ใช้สิทธิ์ในการรักษา ฉีดวัคซีน และเข้าเรียนต่อในอนาคต...

ที่เอาข่าวนี้มาลงก็เพราะมีข่าวเรื่องการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะโรคหัด จากองค์การอนามัยโลก

องค์การอนามัยโลกกล่าวเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า วัคซีนป้องกันโรคหัดช่วยชีวิตคนมาแล้วมากกว่า 17 ล้านคนในเวลา 15 ปีที่ผ่านมา แต่เตือนว่าตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา  การฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงย่ำเท้าอยู่กับที่

การเสียชีวิตสืบเนื่องจากโรคหัดลดลงเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นศตวรรตที่ 20 โดยลดจาก 546,800 คนในปี 2000 เหลือ 114,900 คนในปีที่แล้ว – องค์กรอนามัยของสหประชาชาติระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง

องค์การอนามัยโลกคาดว่ามีคน 17.1 ล้านคนรอดชีวิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากการฉีดวัคซีนสามารถทำได้ทั่วถึงขึ้น

โรคหัดเป็นโรคที่ติดต่อง่าย คนเป็นหัดจะมีผื่น(เป็นเม็ดๆ)ขึ้นตามตัวและเป็นไข้ มันอาจจะรุนแรงจนทำให้สมองพิการ หูหนวกและตาบอด หรือในบางกรณี อาจทำให้เสียชีวิตได้

ในช่วงสิบปีแรกของศตวรรษที่ 20 การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด(เข็มแรก)ให้กับเด็กทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 72 เป็น 85 เปอร์เซ็นต์ แต่น่าเศร้าที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมาอัตราการฉีดวัคซีนไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

“เราจะลดการป้องกันไม่ได้”ฌอง แมรี โอโคโว เบเล หัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและวัคซีนขององค์การอนามัยโลกแถลง

“ถ้าเด็กไม่ได้ฉีดวัคซีนตามกำหนด และการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนของประเทศเข้าไปไม่ถึงพวกเขา เราจะไม่สามารถปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของนาๆประเทศได้” เขาเตือน

เมื่อปีที่แล้ว เด็ก 221 ล้านคนทั่วโลกได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด

แต่ความพยายามเหล่านี้ยังไม่พอ โรเบิร์ต ลินกินส์ จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี)เน้น

“เมื่อปีที่แล้ว เด็กจากทั่วโลกมากกว่า 100,000 คนเสียชีวิตเพราะโรคหัด มันเป็นโศกนาฏกรรมที่สามารถป้องกันได้ง่ายๆถ้าเราพยายามสอดส่องและฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงขึ้น”

โรคหัดยังเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในทวีปอัฟริกาและเอเซีย และมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตเพราะโรคหัดเกิดขึ้นในประเทศยากจนที่โครงสร้างพื้นฐานทางด้านสุขภาพอ่อนแอ

แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ โรคหัดก็เคยระบาดในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป สวนทางกับการฉีดวัคซีนบางอย่างตามโปรแกรมที่เพิ่มขึ้น

คนจำนวนมาก ที่ไม่พาเด็กไปฉีดวัคซีน กล่าวว่าพวกเขากลัวว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูมและหัดเยอรมัน (เอ็มเอ็มอาร์) จะทำให้เด็กเป็นเด็กออทิสติก ความกลัวเช่นนี้มาจากทฤษฎีๆหนึ่ง แต่การวิจัยอีกหลายชิ้นหลังจากนั้นไม่ยอมรับทฤษฎีนี้

ทฤษฎีผิดๆที่ว่านี้มาจากบทความชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในหนังสือ แลนเซ็ท เมดิกัล เจอร์นัล ในปี 1998

ทิป: โรคหัดเป็นโรคที่เกิดขึ้นไม่บ่อยในสหรัฐ แต่เกิดขึ้นบ่อยในประเทศอื่น ไวรัสตัวนี้ติดต่อง่ายและระบาดได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่ ที่คนไม่ได้ฉีดวัคซีน คาดกันว่าปีหนึ่งๆมีเด็กเป็นโรคหัด 20 ล้านคนและเสียชีวิต 146,000 คน – หรือเท่ากับมีคนตาย 400 รายทุกวัน หรือประมาณ 17 คนทุกชั่วโมง
ซีดีซีแนะนำให้เด็กทุกคนฉีดวัคซีนกันโรคหัด คางทูมและหัดเยอรมัน (เอ็มเอ็มอาร์) สองเข้ม เข็มแรกเมื่ออายุ 12 ถึง 15 เดือน เข็มที่สองเมื่ออายุ 4 ถึง 6 ขวบ เด็กสามารถฉีดเข็มที่สองเร็วกว่านี้ได้ แต่ต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 28 วัน

สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้คุณปอ ทฤษฏี ให้หายไวๆ และขอให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกเร็วๆ


ขอขอบคุณภาพจาก: PHIL/CDC ภาพนี้ถ่ายที่ประเทศเมียนมาร์เมื่อปี 2014 โดย Terri Hyde,M.D.,M.P.H.นักระบาดวิทยาของซีดีซี ในภาพจะเห็นแม่กำลังอุ้มลูกสาวเล็กๆให้พยาบาลฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดที่ไหล่ข้างซ้าย

อ่านข่าวแปลกได้ที่นี่ทุกวัน



วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข่าวแปลก: ดับเพลิงเมืองอะโอะโมะริถูกจับเพราะวางเพลิง จะได้ไปดับไฟ


ดับเพลิงอาสาเมืองอะโอะโมะริถูกจับ หลังจากวางเพลิงโกดัง จะได้ไปดับไฟ

ถังดับเพลิง / ภาพจากแฟ้ม

เมื่อวานพาไปญี่ปุ่น ก็ไปต่อกันอีกวันละกัน

คราวนี้เหตุเกิดในเมืองอินาคาดาเตะ เมืองเล็กๆในเขตอะโอะโมะริ  

โชตะ คาวาซากิ เป็นคนงานในโรงงานหัตถกรรมศิลปะจากฟางข้าว(straw-crafts) และเป็นสมาชิกของอาสาสมัครดับเพลิงของสำนักงานดับเพลิงของหมู่บ้าน ซึ่งมีประชากร 8000 คน

ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเรื่องทำหัตถกรรมจากฟางข้าวมากกว่ามีชื่อเรื่องเพลิงไหม้ แม้ว่าการทำหัตถกรรมจากฟางข้าวจะเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ แต่มันก็เต็มไปด้วยความซ้ำซาก ไมมีชีวิตชีวา

และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ตำรวจเขตอะโอะโมะริสงสัยว่าโซตะจะเป็นคนวางเพลิงหลายครั้งในเวลาหกเดือนที่ผ่านมา เขาทำเช่นนั้นเพื่อจะได้ออกไปดับไฟ

เมื่อเวลาประมาณ 4.30 น.ของเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน มีคนเห็นควันพุ่งพวยขึ้นมาจากโกดังแห่งหนึ่งในเมืองคูโรอิชิจึงโทรไปแจ้ง 119

คนในหน่วยดับเพลิงอาสารีบรวมตัวกัน รุดไปที่เกิดเหตุ พนักงานดับเพลิงคนหนึ่งก็คือโซตะ
โซตะ อายุ 32 เป็นที่รู้จักว่า “ตื่นเต้นที่ได้ออกไปผจญเพลิง” เพลิงไหม้ครั้งนี้อยู่ห่างจากบ้านของเขาแค่ 300 เมตร  เพลิงไหม้คราวนี้ทำให้หลังคาโกดังเสียหายไปเล็กน้อย พนักงานดับเพลิงสามารถดับเพลิงโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรง

หลังเกิดเหตุ ตำรวจอะโอะโมะริลงมือสืบสวนทันที พวกเขาคิดว่ามีการลอบวางเพลิงและตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลายตัวที่เอามาติดตั้งไว้ตั้งแต่เกิดเพลิงไหม้อย่างมีเงื่อนงำเมื่อเดือนพฤษภาคม

ในหนัง ตำรวจเห็นชายคนหนึ่งเอากระดาษ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี มากองรวมกันไว้บนพื้นแล้วจุดไฟ หลังจากนั้นประมาณ15 นาทีก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาแจ้ง 119

รูปพรรณของชายคนนี้ตรงกับรูปพรรณของโซตะ เขาจึงเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรก และได้ไปกินข้าวแดงในคุกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน

คนในหมู่บ้านแทบจะตกใจตายเพราะประหลาดใจและขำที่คนที่เป็นพนักงานดับเพลิงถูกจับเพราะเป็นคนวางเพลิงเสียเอง และเพราะ โดยเนื้อแท้แล้ว โชตะเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและเป็นบุคลากรที่มีค่าของหมู่บ้าน ในการแถลงข่าว ตัวแทนจากกรมดับเพลิงบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับกลั้นความรู้สึก ได้คำเดียวว่า “บ่อน่าเสื่อ”

ทิป: ถ้าคุณไม่เคยเห็นหัตถกรรมที่ทำมาจากฟางข้าวของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า Mugiwara Zaiku ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันเป็นศิลปะที่ปราณีตมากอย่างหนึ่งที่เป็นของญึ่ปุ่น แล้วก็เป็นของหายากเพราะมีช่างฝีมือแค่หยิบมือเดียวที่ยังประดิษฐ์งานใหม่ๆออกมา
จะว่าหัตถกรรมฝีมือจากฟางข้าวเหมือนหัตถกรรมจากผักตบชวาก็ไม่ใช่ จะว่ามันเป็นการเอาฟางข้าวมาผ่านการย่อยจนเป็นเยื่อเพื่อประดิษฐ์เป็นกระดาษเหมือนกับที่นักวิจัยในบ้านเราทำก็ไม่ใช่
เท่าที่ดู มันเริ่มจากการเอาฟางเป็นท่อนๆขนาดเท่าๆกันมาย้อมสี (ก่อนหน้านี้จะเอาไปแช่น้ำหรืออะไรมาก่อนก็ไม่รู้) เสร็จแล้วผ่าฟางกลมๆให้เป็นแผ่นๆ ตัดแผ่นให้เป็นแผ่นเล็กๆขนาดครึ่งเซ็นต์ เอาฟางแผ่นเล็กมาเรียงสลับสีให้ได้สีที่ต้องการ แล้วใช้แป้งเปียกทาจนติดกันเป็นแผ่นใหญ่อีกครั้ง(คราวนี้สีบนแผ่นจะคละกัน) จากนั้นตัดเป็นรูปทรงที่ต้องการ เอาไปแปะเป็นรูปที่ต้องการบนวัสดุต่างๆ (เช่นฝากล่องใส่เครื่องประดับ ตู้เก็บเครื่องประดับ)
ที่ง่ายกว่านั้นก็เอามาทักเป็นพัด เป็นหมวก หรือกำไล
จากข้อมูล หัตถกรรมแบบนี้มีทำอยู่ที่เดียวคือที่เมือง Kinosaki (แต่ทำไมเรื่องนี้ไม่ได้เกิดที่นี่ก็ไม่รูเ) ถ้าจะดูวิธีทำให้ไปที่ straw craft from Kinosaki เด้อ

รูปจากแฟ้ม: ถังดับเพลิง


อ่านข่าวแปลกได้ทุกวันที่นี่

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข่าวแปลก:อุต๊ะ... หนุ่มยุ่นลงไปอยู่ในท่อระบายน้ำ รอถ่ายภาพหวิวใต้กระโปรง

หนุ่มซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำ แอบถ่ายรูปใต้กระโปรงสาวถูกจับติดคุก


โตเกียว – หนุ่มโกเบซึ่งหลบอยู่ในบ่อพักท่อระบายน้ำเป็นเวลา 5 ชั่วโมง เพื่อถ่ายรูปใต้กระโปรงของสาวๆ ถูกจับได้เมื่อคนที่เดินผ่านไปมาเห็นผมของเขาโผล่ออกมาจากตะแกรงเหล็กที่ปิดอยู่บนปากบ่อ – ตำรวจเปิดเผย
ตำรวจเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ยาซุมิ ฮิราอิ อายุ 28 กระเสือกกระสนลงไปอยู่ในบ่อพักท่อระบายน้ำขนาดกว้าง 28 เซนติเมตร โดยเอาหัวไว้ใต้ตะแกรงเหล็ก 
ตำรวจเมืองไฮโยโกะ โกเบบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ผมของเขาไปติดอยู่กับขอบตระแกรง คนที่เดินผ่านไปมาก็เลยเห็น”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม แต่ตำรวจต้องใช้เวลาสืบอยู่นานก่อนที่จะจับฮิราอิเมื่อวันจันทร์
ตำรวจไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติม แต่หนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์กีฬาท้องถิ่นรายงานเมื่อวันอังคารว่าฮิราอิลงไปอยู่ในบ่อพักเล็กๆประมาณห้าชั่วโมง โดยถือสมาร์ตโฟนเอาไว้ถ่ายรูปใต้กระโปรงของสาวๆที่เดินผ่านตระแกรงปิดฝาบ่อ
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานอีกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮิราอิถูกจับด้วยการกระทำเช่นนี้ – ตามกฎหมายท้องถิ่น เขามีความผิดฐานทำความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้อื่น
เขาถูกจับเมื่อสองปีก่อนหลังจากกระเสือกกระสนลงไปอยูในบ่อพักท่อระบายน้ำด้วยจุดประสงค์เดียวกัน – หนังสือพิมพ์แล็ปลอยด์กีฬาฉบับเดียวกันนี้รายงาน
ตอนถูกจับ ฮิราอิบอกกับตำรวจว่า “ชาติหน้า เขาอยากเกิดใหม่เป็นส่วนหนึ่งของฟุตบาท” ฮา!
ทิป: พวกที่ชอบถ่ายรูปใต้กระโปรงของสาวๆ หรือพวกถ้ำมอง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Peeping Tom (ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศสว่า voyeur) ไม่ได้เป็นคนโรคจิตหรือเป็นบ้าประเภทที่พูดอยู่คนเดียว หรือหูแว่ว เห็นภาพหลอน อยู่ในโลกของตัวเองหรอกนะ แต่พวกเขาเป็นพวกที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต เกิดจากการเรียนรู้ทางเพศผิดๆตอนเป็นเด็ก พอโตก็เลยหมกมุ่นทางเพศ
ในบ้านเรา คนที่แอบถ่ายภาพใต้กระโปรงในที่สาธารณะ (เช่นในห้องน้ำในห้างสรรพสินค้า สะพานลอย ห้องน้ำสาธารณะ ฯลฯ) เข้าข่ายทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 397 "ผู้ใดในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล กระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่นหรือกระทำให้ผู้อื่นได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" (แต่ถ้าไปถ่ายในที่ๆไม่ใช่ที่สาธารณะก็ว่ากันไปอีกเรื่อง) 
แต่ถ้าอยากถ่ายแบบไม่ผิดกฎหมายให้ไปที่รัฐแมสเซชูเซ็ต สหรัฐอเมริกา เพราะเมื่อปีที่แล้ว ศาลสูงตัดสินว่าการถ่ายรูปใต้กระโปรงไม่ผิด
หรือจะไปใกล้หน่อยก็ที่ฮ่องกง ที่นั่นไม่มีกฎหมายเอาผิดการถ่ายรูปใต้กระโปรงโดยตรง อย่างมากตำรวจก็ตั้งข้อหา กระทำตัวอันเป็นที่เดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ (แต่ข้อหานี้ก็ติดคุกสองปีนะ ความจริงก็เหมือนกับบ้านเราแต่โทษหนักกว่าอีก)
ส่วนที่อื่นไม่รู้ครับ
รูปจากแฟ้ม: ตะแกรงปิดฝาบ่อพัก
อ่านข่าวแปลกได้ทุกวันที่นี่